ขมิ้นชัน และ สรรพคุณขมิ้นชันหลายอย่างที่คนมองข้าม

ขมิ้นชัน และ สรรพคุณขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน

มี วิตามิน เอ,วิตามิน ซี,วิตามิน อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ - สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร - ช่วยย่อยอาหาร - ทำความสะอาดให้สำไส้ - เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ - ต้านอุนมูลอิสระ ปัองกันการเกิดมะเร็งตับ - สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง - กำจัดเชื้อราที่ป่นเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง - ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

ใช้กินเหง้าของ ขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลขมิ้นชันเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูลขมิ้นชัน ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินขมิ้นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ

กินขมิ้นให้เป็นอาหาร ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทองปลาได้เป็นบางส่วน

นาฬิกาชีวิต (ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)

ช่วงเวลา
03.00-05.00 น.
05.00-07.00 น
07.00-09.00 น
09.00-11.00 น
เป็นเวลาของ
ปอด
สำไส้ใหญ่
กระเพาะอาหาร
ม้าม

ช่วงเวลา
11.00-13.00 น.
13.00-15.00 น
15.00-17.00 น
17.00-19.00 น
เป็นเวลาของ
หัวใจ
สำไส้ใส้
กระเพาะปัสสาวะ
ไต

ช่วงเวลา
19.00-21.00 น.
21.00-23.00 น
23.00-01.00 น
01.00-03.00 น
เป็นเวลาของ
เยื้อหุ้มหัวใจ
พลังงานรวม
ถุงน้ำดี
ดับ

กินขมิ้นตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น
เวลา 03.00 - 05.00 น.
ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรงช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก แล้วช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

เวลา 05.00 - 07.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาสำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟิ้นฟูปลายประสาทของสำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ปัญหาสำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือสำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไป หรือถ่ายน้อยเกินไป

ถ้าสำไส้ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังสำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็ก ๆ อยู่เป็นล้าน ๆ เส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้างจึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำเกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวารไม่เป็นมะเร็งลำไส้

เวลา 07.00 - 09.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจาการกินข้าวไม่เป็นเวลาท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ปัองกันความจำเสื่อม

เวลา 09.00 - 11.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกันม้าม ลดอาหารเป็นเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน

เวลา 11.00 - 13.00 น.
ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ มีหรือไม่มี ก็กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใตให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง จีงต้องลงขมิ้นทางผิวช่วยอีกทางหนึ่งด้วย

เวลา 13.00 - 15.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะสำไส้เล็กไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมตัวกัน ทำให้เกิดแก๊สและมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว แล้วขมิ้นชัน จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในสำไส้เล็กให้เป็น บี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป

เวลา 15.00 -17.00 น.
ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้
กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้ จบไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ช่วยขับไขมันในตับระหว่างเวลา 01.00-03.00 น. ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น กินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไร่ฝุ่นที่ผิวหนังไม่เป็นผดผื่นคันง่าย ๆ

กินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมี ไม่มีสเตรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ

อ่านต่อ

สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง

โรคมะเร็ง คือ เนื้องอกหรือกลุ่มเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ก็เพราะร่างกายของเราได้รับท๊อกซิน (Toxin) หรือสารพิษจาการที่ร่างกายสร้างขึ้นหรือจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ทำให้เกิดฟรีแรดิคัด (Free Radical) ขึ้นภายในร่างกาย ส่งผลให้ภูมิชีวิตลดลง

เมื่อภูมิชีวิตน้อยลง ร่างกายเราจึงอ่อนแอและไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ หากต้องการจะต้านโรคมะเร็ง เราก็จะต้องพึ่งเจ้าสารแอนติออกซิแดนต์ (Antioxidant) เข้าไปเสริมทัพให้ภูมิชีวิตในร่างกายของเรานั้นเอง

นอกจากนั้นมีรายงานการวิจัยพบว่า สารแอนติออกซิแดนต์เป็นสารที่ช่วยในการยับยั้งและต้านโรคมะเร็ง ซึ่งในประเทศไทยก็มีพืชผักที่มีสารแอนติออกซิแดนซ์อยู่มากมายและอยู่ใกล้ตัวคนไทยชนิดที่เรียกว่าคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็น สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง ที่อยู่ริมรั้วบ้านที่มักหยิบมาใช้ประกอบอาหารในชีวิตประจำวันของครอบครัวอยู่แล้ว

สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง

สามารถแบ่งออกตามกลุ่มได้นี้
  • วิตามินเอ
  • วิตามินซี
  • วิตามินอี
  • เบต้าแคโรทีน
  • ฟลาโวนอยด์
  • กรดฟีนอลิก

สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง ทางการติดเชื้อ

วิตามินเอเป็นวิตามินบำรุงสายตา ฟัน กระดูก ผม ผิวเนื้อเยื่ออ่อน ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ต้านทานการติดเชื้อ นอกจากนั้นพบว่า วิตามินเอยังสามารถช่วยป้องกันโรงมะเร็งได้อีกด้วย
ผักพื้นบ้าน 100 กรัม วิตามินเอ (เบ : หน่วยสากล)
ใบยอ 43,333
ใบย่านาง 30,625
ใบช้าพลู 21,250
ใบตำลึง 18,608
ผักกูด 17,167
ผักแพว 13,055
ผักชีลาว 13,055
ผักแว่น 12,166
ใบบัวบก 10,962


สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง ทางการคลายเครียด

หน้าที่ของวิตามินซีตามที่อาจารย์ สาทิส อินทรกำแหง เขียนไว้ในหนังสือ ภูมิชีวิต ได้อธิบายไว้ว่า วิตามินซีมีหน้าที่สำคัญคือ การสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นตัวเส้นใยที่ทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้าง กระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือดด้วย นอกจากนั้นยังช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้นป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ รวมไปถึงการช่วยให้คลายเครียดด้วย
ผักพื้นบ้าน 100 กรัม วิตามินซี (กรัม)
ดอกขี้เหล็ก 484
ใบเมี่ยง 192
ผ้กหวาน 168
ผักเชียงดา 153
ใบยอ 141
ผักแพว 115
ผักไผ่ 77
ผักชีลาว 58
ใบติ้ว 56


สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง กำจัดฟรีแรดิคัล

เบต้าแคโรทีนเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ที่มีความสามารถในการกำจัดสารฟรีแรดิคัล ซึ่งเบต้าแคโรทีนยังมีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งปอดได้อีกด้วย
ผักพื้นบ้าน 100 กรัม เบต้าแคโรทีน (กรัม)
ยอดแค 8,654
ใบกะเพรา 7,867
ใบขี้เหล็ก 7,181
ผักเชียงดา 5,905
ผักติ้ว 4,500
ผักกระเฉด 3,710
แครอต 6,994


สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง ปกป้องเซลล์

ฟลาโวนอนด์เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนต์ สามารถปัองกันไม่ให้เซลล์และเนื้อเยื่อภายในร่างกายเราถูกฟรีแรดิคัลทำลาย พืชผักที่มีสารฟลาโวนอยด์ได้แก่ หัวหอมใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง ส้ม เป็นต้น โดยเฉพาะ เนื้อส้มและในส้มจะมีฟลาโวนอยด์อยู่ปริมาณมาก


สมุนไพรต้านโรคมะเร็ง ลดเซลล์กลายพันธุ์

สารประกอบฟีนอลิกหลายตัวเป็นแอนติออกซิแดนต์ซึ่งมีผลยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน และต้านการกลายพันธุ์ แถมยังส่งผลดีต่อสุขภาพและสามารถต้านโรคมะเร็งได้ โดยกรดฟีนอลิกจะทำหน้าที่กำจัดฟรีแรดิคัล และพบได้ใน ขิง กะเพรา ขมิ้น กานพลู ตระไคร้

ที่มา หนังสือชีวจิต

อ่านต่อ

สมุนไพรรักษางูสวัด

สมุนไพรรักษางูสวัด สมุนไพรชื่อ พญายอ หรือมีชื่อเรียกอื่นๆ คือ ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด พญาปล้องดำ พญาปล้องทอง ลิ้นมักกร โพะโซ่จาง รูปแบบที่ใช้คือครีมพญายอ กลีเซอรีนพญายอ

โดยใช้ทาบริเวณที่มีการอักเสบ ปวดแสบปวดร้อน วันละ 4 ครั้ง นาน 5 วัน ครีมพญายอ และกลีเซอรีนพญายอสามารถระงับอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดีพอสมควร และราคาไม่แพง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัดจะต้องเคยเป็นโรคอีสุขอีใสมาก่อน หลังจากหายจาโรคอีสุขอีใสและ เชื้อจะไปหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทใต้ผิวหนัง และแฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายๆปี โดยไม่อาการผิดปรติใตๆ แต่เมื่อใดที่ภูมิต้านทานอ่อนแอลง ก็มีโอกาสจะเกิดโรคงูสวัดได้ โรงงูสวัดจะพบมากขึ้นตามอายุ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง มักพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี ในเด็กและทาราพบได้บ้าง แต่มักมีอาการไม่รุนแรง

โรคงูสวัดมีอาการอย่างไร
เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนลึกๆ เป็นช่วงที่ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลง ส่งผลให้เชื่อไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้น และเกิดการติดเชื้อในระบบประสาท จึงมีอาการปวดแสบปวดร้อน

หลังจากที่ปวดแสบปวดร้อนได้ประมาณ 2-3วัน ผู้ป่วยโรคงูสวัดจะเริ่มมีผื่นแดงต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำใส เรียงกันเป็นกลุ่ม เป็นแนวยาวตามเส้นประสาทของร่ายกาย เช่น ตามความยาวของขา หรือรอบเอว รอบหลัง หรือศีรษะ เป็นต้น โดยตุ่มน้ำใสของโรคงูสวัดนี้จะแตกออกเป็นแผล ต่อมาก็ตกสะเก็ด และหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์

อย่างไรก็ดี เมื่อตุ่มน้ำใสแตกและแผลหายดีแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังมีอาการปวดแสบปวดร้อนลึกๆ ตายรอยแนวของโรคที่เกิดขึ้น บางคนอาจมีอาการนี้อีกเป็นเดือน หรือหลายๆ เดือน โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางคนอาจมีอาการปวดแสบปวดร้อนลึกๆ หลังจากที่แผลหายดีและเป็นปีๆ


ที่มา Health Today

อ่านต่อ

โยเกิต นดสด น้ำผึ้ง มะนาว สูตรล้างลำไส้เล็ก

ประโยชน์ของ โยเกิต นดสด น้ำผึ้ง มะนาว
- ล้างไขมันในลำไส้เล็ก ทำให้ระบบดูดซึมดี ตัวจุลินทรีย์ที่เกิดในโยเกิตจะช่วยย่อยไขมันจากนม และกินความหวานจะน้ำผึ้งเพื่อสร้างและเลี้ยงตัวจุลินทรีย์เองให้เติบโต เมื่อกินโยเกิต นดสด น้ำผึ้ง มะนาว เข้าไป นอกจากจะล้างลำไส้แล้ว ยังมีไขมันฝ่ายดีและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้ากินเวลา 13.00 - 15.00 น. จะไปช่วยย่อยขยะในสำไส้เล็กเพื่อเปลี่ยนขยะให้เป็น บี 12 ส่งไปเลี้ยงสมองได้ดีมาก กินตอนเช้าจะลดความอ้วน กินตอนบ่ายล้างลำไส้เล้ก กินตอนเย็นจะอ้วน
- ถ้าไม่มีน้ำผึ้ง ก็ใช้น้ำอ้อยแทนได้ และถ้าไม่มีมะนาวก็ใช้น้ำสัมคั้น หรือส้มจึีดแทน
- คนที่เป็นเบาหวานกินได้ เพราะจุลินทรีย์จะกินความหวานจากน้ำผึ้งก่อน เมื่อผสมโยเกิต นดสด น้ำผึ้ง มะนาว เสร็จแล้ว ควรตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง (15 - 30 นาที) เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ขยายตัวก่อนแล้วจึงดื่ม ถ้ากินในปริมาณ 500 ซีซี จะช่วยล้างลำไส้ใหญ่ได้

สูตร โยเกิตรสธรรมชาติ ครึ่งถ้วย นมสด 1 แก้ว น้ำผึ้ง 1 - 2 ช้อนโต๊ะ มะนาวครึ่งลูก

อ่านต่อ

ชามะละกอ

การนำเอามะละกอดิบมาปอกเปลือก แล้วหั่นเนื้อมะละกอใส้หม้อ เติมน้ำ ต้มให้เดือดแล้วตักเนื้อมะละกอออกไป เอาเฉพาะน้ำมาใช้ชงชาเพื่อดื่มแทนชาทั่วไป
ประโยชน์ เมื่อดื่มชามะละกอ จะเป็นการล้างลำไส้ อันเนื่องมาจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำคราบไขมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้เป็นกาวเหนียวจีงเกิดการขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี หรือดูดซึมไม่ได้ เวลากินอาหารก็ได้แค่อิ่มแต่ไม่ได้สารอาหาร เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้า ความเจ็บป่วยก็จะเข้ามาเยือน

เมื่อร่ายกายปกติดีไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี

สูตรชามะละกอ
- มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งลูก
- ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง

วิธีทำ
ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นแบบชิ้นฟักไม่ถึงครึ่งลูก ใส่หม้อเติมน้ำ 3 ลิตร ตั้งไฟ จะเติมดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือราเตย ก็ใส่ลงไปพร้อมกับมะละกอดิบ พอน้ำเริ่มเดือดได้สัก 3 นาที ก็ยกลงได้ อย่าต้มมะละกอจนเนื้อเละ ต่อไปก็ตักมะละกอและดอกเก๊กฮวยออกให้เหลือแต่น้ำ เอาน้ำร้อนที่เหลือทั้งหมดน้ำไปชงชาใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ มากหรือน้อยตามความต้องการ (ห้ามแช่ใบชาเกิน 5 นาที) แล้วกรองเอากากใบชาทิ้งไปทั้งหมด ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่นหรือเย็นก็ดื่มได้เลย หรือจะบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้ เก็บได้ประมาณ 3 วัน

อ่านต่อ